วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

อธิบายการเป็นเด็กแว้น

ท่านผู้อ่านทุกท่านคงอาจจะเคยเห็นกลุ่มสิงห์นักบิดรุ่นเยาว์ ขี่มอเตอร์ไซค์จำนวนมากยามค่ำคืน ด้วยลีลาอันผาดโผนและน่าหวาดเสียว หลายคนรู้สึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย ขณะที่หลายคนก็สาปแช่งและเรียกพวกเขาว่าขยะสังคม ผู้ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง

เชื่อหรือไม่ว่า? ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไม่ได้มองเช่นนั้น ดร.ปนัดดาตั้งคำถามว่าทั้งๆที่เด็กกลุ่มดังกล่าวก็รู้ ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและอาจถึงแก่ความตายได้ แต่สิ่งที่ตนเองพบเจอมาจากการสังเกตุเบื้องต้น กลับเห็นรอยยิ้มและความสุขของกลุ่มเด็กเเว้น คำถามคือว่าทำไมเขามีความสุข

ดร.ปนัดดาถึงขนาดใช้ชีวิตกว่า3ปีในการศึกษาระดับปริญญาเอกเพื่อเข้าไปคลุกคลีและใช้ชีวิตเป็นพวกเดียวกันอยู่ในกลุ่มเด็กแว้น จนพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจและอธิบายเด็กแว๊นจากมุมมองที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะจากผู้มีอำนาจรัฐ

"มติชนออนไลน์"ถือโอกาสนี้มาทำความรู้จักกับเส้นทางการวิจัยดังกล่าวรวมถึงคำถามที่ว่าเราจะเข้าใจกลุ่มเด็กแว้นได้อย่างไรโดยปราศจากอคติหรือกรอบความคิดที่มีอยู่เดิม

-งานวิจัยเรื่องเด็กแว๊นของอาจารย์มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร อะไรคือแรงบันดาลใจ

เริ่มจากสมัยที่เรียนปริญญาเอกก็เรียนทางด้านสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุการบาดเจ็บและตาย  จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์สูงระดับต้นๆของโลก ก็คิดว่าน่าจะใช้หลักทางสังคมศาสตร์ในการอธิบายเรื่องของสุขภาพเมื่อมาดูอัตราการเจ็บและตายว่ามันเกิดขึ้นกับคนกลุ่มใด และเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็พบว่ามันเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนจากการขี่รถมอเตอร์ไซค์ จึงตั้งคำถามว่าเด็กและเยาวชนที่เสียชีวิตเพราะมอเตอร์ไซค์ว่าทำไมเค้าจึงเลือกขี่

ด้วยความที่อยากได้องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการอธิบาย ก็จำเป็นต้องคิดนอกกรอบ ต้องใช้วิธีการในการศึกษาแบบใหม่การจะไปเดินแจกแบบสอบถามนั้นคงไม่เหมาะสม ไม่น่าจะได้คำตอบและไม่สามารถทะลุกรอบคิดเดิมๆได้ 

ก็ได้คำตอบว่าต้องทำวิจัยแบบเชิงคุณภาพแบบชาติพันธุ์-มนุษยวิทยาหรือที่เรียกว่า"ethnographicfieldwork" มันก็เลยเป็นที่มาของการเข้าไปศึกษาโดยเอาตนเองเข้าไปคลุกคลีในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจเด็กๆครอบครัวข้าราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งเมื่อลงไปสัมผัสและศึกษากับความจริงแล้วก็จะพบว่าโจทก์การวิจัยก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นจึงเข้าใจว่าทำไมเค้าถึงมีบริบททางวัฒนธรรมจิตวิทยาอะไรที่ผลักดันให้พวกเขาเหล่านั้นต้องขี่รถเค้าจะขับรถแบบเสี่ยงๆไปเพื่ออะไรหรือเค้าไม่รู้หรือว่ามันอันตราย? เค้าไม่รู้หรือว่ามันเป็นผลร้ายต่อชีวิต? 

จากผลการวิจัยเบื้องต้นเราได้คำตอบว่าเค้ารู้เค้ารู้ว่าชาวบ้านเกลียดเขาตัวเค้าก็กล้านิยามว่าตัวเองเป็นเด็กเลว อย่างเช่นมีคนหนึ่งพูดกับเพื่อนหลังจากที่พึ่งเล่นยากลับมา ส่วนดิฉันเองก็แกล้งนอนหลับและได้ยินเค้าก็บอกว่า"กูโคตรรักพี่ปู(ชื่อเล่นผู้วิจัย)เลยขนาดพวกเราเลวอย่างนี้เค้ายังมาคบพวกเราเลย"


มันก็เป็นบทสะท้อนว่าตัวเค้าเองก็รู้นะว่าเค้าเป็นเด็กที่ไม่ดี สังคมมองเขาอย่างไรแต่เขายินดีไงมันก็เป็นหน้าที่ของนักวิจัยว่าต้องไปค้นหาว่าทั้งๆที่รู้ แต่ทำไมเค้าถึงต้องทำ 

มันจึงออกมาเป็นผลการวิจัยที่พบว่าเด็กมีพัฒนาการตามวัยพอเขาเริ่มโตเขาก็ต้องแสดงอัตลักษณ์ตัวตนทั้งนี้การแสดงอัตลักษณ์ตัวตนมันก็ขึ้นอยู่กับเด็กคนนั้นว่ามีทุนเช่นทุนทรัพย์ หรือทุนทางสังคม-ครอบครัว-สติปัญญาว่าเค้าจะสร้างตัวตนอย่างไรทั้งนี้เด็กที่พ่อแม่มีการศึกษาฐานะร่ำรวยก็จะพาลูกไปเรียนพิเศษเด็กของครอบครัวเหล่านี้ก็จะมีอัตลักษณ์ทางด้านการศึกษาและมีความใฝ่ฝันตามปกติของสังคม  ขณะที่พ่อแม่ที่ฐานะไม่ร่ำรวย หรืออาจจะร่ำรวยแต่ไม่มีกรอบคิดในการขัดเกลาที่ดี ก็ทำให้เด็กมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน เพื่อที่จะสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง

จึงจะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถยกความผิดไปให้ครอบครัวทั้งหมด เพราะครอบครัวที่ยากจนหรือครอบครัวระดับล่างไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลบุตรอย่างแน่นอน แต่กลับถูกสังคมคาดหวังว่าจะต้องดูแลลูกให้ได้  จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่ต้องไปศึกษาหาวิธีในการช่วยเหลือสนับสนุนพ่อแม่ที่อ่อนแอได้มีเครื่องมือกลไกและวิธีคิดในการเสริมพลังปรับเปลี่ยนวิธีคิดของลูกเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยที่เหมาะสม

-ตอนนั้นอาจารย์ลงพื้นที่ไหนครับ

บอกจังหวัดไม่ได้ค่ะ เป็นพื้นที่ทางภาคตะวันออก

- เล่าวิธีการในการเข้าหาหรือตีสนิทกับเด็กแว๊น?

การวิจัยครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2546 มันเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นว่าจะต้องหาความรู้ใหม่ให้ได้   คือต้องเริ่มต้นจากการไปนั่งเฝ้าตามริมถนนและสังเกตพฤติกรรมการขี่รถว่าเขาขี่อย่างไร ก็สอบถามทุกคนที่ถามได้ว่าที่ไหนมีเด็กแว๊น? ที่ไหนมีการขับขี่รถ? ก็จะไปนั่งรอจนถึงเที่ยงคืนเพื่อไปดูพฤติกรรมแบบนี้แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาเพราะเราอายุมากแล้วไม่น่าจะเข้ากับเขาได้


โดยความรู้สึกครั้งแรกก็เห็นว่าเขามีความสุขดีนะมันก็กลายเป็นคำถามว่าเค้าไม่ได้ทุกข์และเค้าไม่ได้กลัวอะไรรวมถึงไม่ได้มองว่ามันอันตรายไม่ว่าจะเป็นการนอนขี่หรือแว้นไปมาด้วยความเร็วสูงก็ดูเขามีความสุขและร่าเริงทุกคน ด้วยความเป็นนักวิจัยก็ต้องไปศึกษาข้อมูลกับหลายพื้นที่โดยเฉพาะโรงพยาบาลก็ไปพบกับผู้ป่วยจากอุบัติเหตุที่เป็นเด็กวัยรุ่นรายหนึ่งก็เลยไปสัมภาษณ์เขาก็เริ่มเข้าใจการขับขี่และวิถีของเด็กแว๊นเบื้องต้นเราจึงเห็นว่ากรณีคนนี้เป็นคนที่น่าสนใจเมื่อคุยกันเริ่มจะถูกคอก็ปรากฏว่าเขาหนีออกจากโรงพยาบาลก็เลยพยายามที่จะตามเขาไปซึ่งกรณีของเขาเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเมื่อไปถึงที่อยู่ที่เขาแจ้งไว้กับโรงพยาบาลก็ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามนั้นเป็นข้อมูลโกหกโรงพยาบาล

เราก็เริ่มจากการไปที่จุดเกิดเหตุและสัมภาษณ์ชาวบ้านก็ปรากฏว่ามีคนให้ข้อมูลและจดจำได้จนเจอคนที่รู้จักเด็กคนนี้จึงตามไปยังชุมชนที่เขาอยู่กระทั่งบังเอิญไปเจอเขาจึงเป็นที่มาของการเข้าไปใกล้ชิดเป็นการเข้าผ่านตัวบุคคลจนได้ไปเจอเครือข่ายของเขา

-อาจารย์เปิดตัวว่าเป็นนักวิจัยหรือเปล่าอาจารย์ไม่กังวลว่าเค้าจะให้ข้อมูลที่โกหกหรือ

ตอนแรกก็คิดว่าเค้าจะไม่โกหกก็สัมภาษณ์ เค้าก็ตอบเรื่อยๆ มารู้อีกทีว่าเค้าโกหกก็เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ6เดือนพอเริ่มคุ้นเคยกันเริ่มรู้จักคนมากขึ้นเขาก็บอกว่า"พี่ปูผมมีเรื่องจะสารภาพสิ่งที่ผมบอกพี่ปูมันไม่ใช่ความจริงยอมรับว่าโกหก"

นี่จึงเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ที่นักวิจัยต้องรู้ว่าการให้ความรู้มาต้องอย่าดูถูกผู้ให้ข้อมูลถึงแม้เค้าจะเรียนไม่จบหรือเป็นเด็กแว๊น เขาก็จะป้องกันตัวเองในการให้ข้อมูลว่าฉันควรจะให้ข้อมูลกับใครที่จะไม่ทำให้เดือดร้อนดังนั้นการที่เด็กแต่ละคนจะพูดอะไรออกมาก็จะผ่านการพิจารณาอย่างดีว่านักวิจัยดังกล่าวไว้ใจได้หรือไม่?และจะเอาข้อมูลไปทำอะไร?หมายความว่า การที่เราไปวิจัยเขาในทางกลับกันเขาก็วิจัยเราเช่นกัน

เมื่อเขาตรวจสอบแล้วว่า เราไม่ทำร้ายเขาแน่นอน เป็นการมาดี เขาก็จะเริ่มเปิดใจมากขึ้น นักวิจัยจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลาตนเองก็หยุดใช้วิธีการจดและเปลี่ยนมาใช้การจำเพื่อไม่ให้เขากลัว รวมถึงมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับเขา เช่นการย้ายหอพักจากเดิมที่อยู่ไกลจากเขาพอสมควร มาอยู่ใกล้ใกล้เขา ซึ่งเขาก็เป็นคนหาให้หลังจากนั้นเขาก็จะมาอยู่กับเราด้วยเพราะเด็กกลุ่มดังกล่าวจะนอนดึกก่อนจะตื่นประมาณเที่ยง

-อาจารย์ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าแก๊ง?

ตอนแรกๆยังไม่เป็นนะคะ  ตอนนั้นยังเป็นเบ้...ก่อนพอระยะหลังๆที่คุ้นเคยกันมากขึ้นก็จะขึ้นมาตามลำดับเป็นการขึ้นมาตามอำนาจซึ่งตัวอำนาจเองก็ถูกกำหนดไว้หลายปัจจัยทั้งเรื่องเงินการมีรถแรงการรู้จักคนที่มีเครือข่ายเยอะๆอำนาจก็จะตามมาจากปัจจัยดังกล่าวเอง

-ข้อเสนอหลักที่อาจารย์คิดว่าได้จากงานวิจัยชิ้นนี้คืออะไรครับ

ดิฉันคิดว่าเด็กแว๊นเป็นบทสะท้อนถึงปัญหาการใช้ความรุนแรงของกลุ่มเยาวชนด้วยวิธีการต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อก่อความเดือดร้อนรำคาญแต่ตัวเองมีความสุขหรือว่าการใช้อาวุธการใช้ยาเสพติดทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าปัญหาเหล่านี้มีเฉพาะในกลุ่มเด็กแว้นเท่านั้นเพราะเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาปกติของเยาวชนไทยเมื่อไปดูสถิติก็จะพบว่าการกระทำผิดในกลุ่มเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้แม้นโยบายรัฐจะมีการพยายามดูแลปัญหาเด็กแว๊นแต่ก็ยังไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาซึ่งเห็นว่าควรจะต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทสังคมและตัวเด็กยกตัวอย่างเช่นเยาวชนภาคใต้ก็ควรจะมีแบบแผนหลักสูตรที่สอดคล้องกับเด็กภาคใต้ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับเด็กภาคเหนือและไม่เห็นว่าเด็กจะต้องเก่งวิชาการพื้นฐานทั่วไปแต่ควรมีวิชาที่สอดคล้องกับสังคมเฉพาะทางด้านสายอาชีพเพื่อให้สอดรับกับเด็กที่มีความหลากหลายให้สามารถพัฒนาตนเองและสร้างอัตลักษณ์ตนเองได้ครูก็ต้องเป็นพี่เลี้ยงในการให้เด็กเติบโตและสร้างตัวตนของตนเองทั้งนี้ปัญหาหลักของกลุ่มเด็กแว้นก็คือการหาอัตลักษณ์ของตนเองไม่เจอแต่สิ่งที่เค้าเจอคือความภาคภูมิใจจากการเข้าไปอยู่ในสังคมเด็กแว๊นมีระบบชนชั้นอยู่ภายในกลุ่มการได้รับการยอมรับจากสังคมเฉพาะของตน

-อาจารย์เปรียบเทียบได้ไหมครับว่าลักษณะของกลุ่มเด็กแว้นในปี2546 ที่อาจารย์ศึกษากับปัจจุบันมีความแตกต่างและมีพัฒนาการอย่างไร

ตอบได้เลยว่าแรงขึ้น เช่นในสมัยที่ตนทำวิจัยต้นคลุกคลีอยู่กับเด็กแว๊นกว่า 3 ปี ตอนนั้นตัวขี่ คือคนที่ขับรถแข่งหรือเป็นตัวแทนของซุ้มหรือร้านแต่งรถจะเป็นเด็กประถมศึกษาปีที่ 6 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยคนที่จะเข้าแข่งก็ต้องหารถแรงและตัวขี่ก็ต้องมีขนาดตัวเล็กเพื่อเพิ่มความเร็วในการแข่งกับซุ้มอื่นๆ โดยช่วงที่ตนทำวิจัยก็ต้องลงทุนซื้อจักรยานยนต์ 1 คันยี่ห้อยามาฮ่า มีโอ และต้องแต่งเพื่อให้อยู่ในกลุ่มเค้าให้ได้


เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่4ถึง5ก็กลายเป็นตัวขี่แล้วมันสะท้อนว่าอายุมันลดลงและมีจำนวนมากขึ้นกระจายทั่วไปหมดดิฉันจึงไม่เห็นด้วยกับการมีสนามแข่งเพราะหากจะแก้ปัญหาโดยการใช้สนามแข่งจริงก็ต้องถามว่าจะใช้สนามแข่งมากแค่ไหนอย่างไรจังหวัดที่ตนทำวิจัยก็มีสนามแข่งมากมายทั้งสนามเถื่อนและสนามที่เทศบาลจัดเอง แต่กลุ่มเด็กแว้นก็ไม่รอจนถึงสนามเปิดหรอกเค้าต้องมีการเทสรถอยู่ตลอดเวลา

-มีคนเสนอเรื่องการทำสนามเช่นกรณีของ "บุรีรัมย์โมเดล" อาจารย์เห็นด้วยมั๊ยครับ


ตอบเลยว่าไม่เห็นด้วยและขอไม่เรียกว่าโมเดลด้วย เพราะคิดว่าโมเดลจะต้องได้รับการตรวจสอบมาแล้วว่ามันมีประสิทธิภาพ แล้วสังคมก็พากันไปเรียกว่าเป็นโมเดลเช่นกรณี ราชพฤกษ์โมเดล เพราะต้องตั้งคำถามว่ารถเทสของกลุ่มเด็กแว้นที่เกิดขึ้นเยอะมากและเกิดขึ้นหลายแห่งคงไม่สามารถหาสนามมารองรับได้หมดหากยังปล่อยให้เด็กไทยมีความต้องการในวิธีการขับขี่แบบนี้จะยอมให้มันกลายเป็นมาตรฐานหรือกลายเป็นวิถีชีวิตของวัยรุ่นไทยหรือไม่หากมีสนามแข่งก็หมายความว่าเป็นการยอมรับให้เด็กทั้งตัวแว้น-ตัวขี่ใช่หรือไม่

-อาจารย์ประเมินว่าเค้าจะเข้าไปใช้สนามไหมหากมีการสร้างจริง

ตอบได้เลยว่าไปเพราะเขาต้องการทุกพื้นที่ในการแข่งรถแต่อย่าลืมว่าการมีสนามไม่ได้ทำให้การขับขี่นอกสนามหายไป

-กรณีที่ผู้นำในภาครัฐของไทยโดยเฉพาะกรณีผบ.ตร.ที่ มองเด็กกลุ่มดังกล่าวว่าเป็นขยะสังคม อาจารย์ประเมินวิธีคิดแบบนี้อย่างไร
ควรจะมองเด็กแว๊นแบบไหน?นี่แหละคือสิ่งที่ดิฉันเห็นว่าเป็นปัญหาและเป็นสิ่งที่น่ากลัวว่าหากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่เปลี่ยนมุมมองและเปิดใจว่าตนเองมีส่วนสำคัญมากที่ทำให้เด็กและเยาวชนไทยเป็นแบบนี้แล้วก็ไปเพิ่มโทษและประณามว่าเป็นความเร็วของเด็กหรือเป็นความผิดของเด็กเป็นสิ่งที่เด็กทำเพื่อทำร้ายตนเองจริงๆผู้ใหญ่ควรตั้งคำถามกับตนเอง ว่าตนเองได้ทำหน้าที่ที่ผู้ใหญ่พึงมีในการที่จะพัฒนาและป้องกันเพื่อไม่ให้เด็กเดินเข้าสู่วิถีที่เป็นโทษกับตนเองและกับผู้อื่นอย่างไร

ทั้งนี้ดิฉันมองว่าความรุนแรงต่างๆเป็นบทสะท้อนให้เห็นว่าผู้ใหญ่ล้มเหลวไม่ใช่ความไม่ดีของเด็ก โดยเมืองไทยมักแก้ปัญหาโดยการมองไปที่ปลายทาง ซึ่งไม่ได้ปฏิเสธว่าการแก้ปัญหาปลายทางวันนี้ไม่ถูกต้องเพราะโดยในจุดหนึ่งก็ยังมีความจำเป็นหากไม่ระงับยับยั้งด้วยมาตรการที่เข้มข้นก็จะก่อให้เกิดความฮึกเหิมแต่ปัญหาที่อยากชี้ให้เห็นคือว่าการแก้ปัญหาที่ต้นทางมีน้อยมากฉะนั้นมันจึงส่งผลให้มาตรการการแก้ปัญหาปลายทางในวันนี้มีความจำเป็นแต่เวลาที่เราทำมาตรการปลายทางนั้นก็ต้องคิดถึงความจริงและข้อจำกัดของการทำงานระบบปลายทางด้วยเช่นเรื่องทรัพยากรบุคคลอุปกรณ์ในการทำงานหรือตัวบทกฏหมายที่มีความเหมาะสมมีประสิทธิภาพเพียงพอในการระงับยับยั้งและไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาใหม่กล่าวคือหากรัฐบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดหรือมีมาตรการกดให้เด็กแว๊นไม่กล้าออกมากระทำผิดกลุ่มเด็กดังกล่าวก็จะปริ้น...หรือเลือกที่จะไปกระทำพฤติกรรมในเรื่องอื่นทดแทน

-การขู่ใช้มาตรการเด็ดขาด ทั้งม.44. เพิ่มการตั้งด่าน ขึ้นบัญชีร้านแต่งรถ ช่วยได้ไหม?


ก็ต้องถามกลับไปที่ทางตำรวจว่าทุกวันนี้ตำรวจมีหน้าที่แค่ปราบเด็กแว๊นหรือเพราะตำรวจมีหน้าที่มากมายที่ต้องทำยังไม่นับปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องการขาดแคลนและความบกพร่องต่างๆมากมายจึงต้องถามผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าจะมุ่งมั่นในการปราบปรามแบบนี้ต่อไปหรือยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เปรียบได้เห็นภาพก็เช่นเราปล่อยให้มีแมลงสาบในห้องมากมายแต่เราไม่กำจัดแหล่งเพาะพันธ์เรากลับเลือกที่จะไล่ตีแมลงสาบทีละตัวมันก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะคนไม่พอ

อีกประเด็นคือเรื่องของตัวบทกฏหมายที่ยังมีปัญหาเรื่องการบังคับใช้มากมายจึงต้องมีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวให้ครอบคลุมและสามารถนำไปใช้ได้จริงแม้กระทั่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่จะมีการลงโทษกับพ่อแม่แม้มีการบังคับใช้มานานแล้วแต่ก็บังคับใช้อะไรไม่ได้เช่นการเชิญบุคคลต่างๆมาสอบสวนเยาวชนผลสุดท้ายก็กลายเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นที่ทำหน้าที่เพราะมีปัญหาง่ายๆเช่นเเค่เรื่องการนัดหมาย ก็กลายเป็นภาระของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับเยาวชนเพราะต้องทำตามกฎหมายและเกิดความยุ่งยากซับซ้อนการทำงานมากมายตำรวจหลายคนจึงเลือกที่จะไม่จับเยาวชนจึงเป็นช่องว่างให้เยาวชนกระทำผิด




ทั้งนี้ยืนยันว่าการจับเด็กแว้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเพราะจากประสบการณ์ของตนขนาดเป็นเด็กแว๊นมือใหม่ก็ยังไม่เคยถูกจับแม้แต่ครั้งเดียวตลอดสามปี จึงไม่ต้องถามเลยว่าเด็กแว๊นมือเก่าจะถูกจับหรือไม่ เพราะกรณีที่มีคนถูกจับก็จะนำความรู้ดังกล่าวมาบอกต่อกันจนเกิดการหลบหนีได้ทันทุกครั้ง  รวมถึงเด็กแว้นเองก็มีความรู้ในการหลบเลี่ยง เช่นการอ้างสถานะความเป็นนักเรียนที่หากถูกจับก็จะถูกคุมประพฤติ เมื่อไปถึงสถานที่คุมประพฤติก็ถูกปล่อยออกมาภายใน5นาทีเพราะอ้างได้ว่าเป็นนักเรียน

ทั้งนี้เห็นว่าเรื่องเด็กจะต้องถู
กยกเป็นวาระแห่งชาติปัจจุบันนโยบายของรัฐเรื่องเด็กล้มเหลว เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลไม่มีความจริงจังในการแก้ปัญหาเด็กเช่นนายกรัฐมนตรีก็จะพูดเรื่องเด็กเฉพาะวันเด็กและก็เป็นการพูดซ้ำๆไม่ได้มีวิสัยทัศน์ใดๆจึงจำเป็นต้องมีการสร้างแผนพัฒนาเยาวชนที่ครอบคลุมและมีระยะยาวต้องหยุดผลักภาระเรื่องเด็กให้เป็นปัญหาแค่เฉพาะของครอบครัวคนที่คิดแบบนี้ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบเพราะมันแสดงว่ารักมุ่งที่จะกระทำแต่กับเหยื่อโดยตนเองมองว่าเด็กและครอบครัวต่างหากที่เป็นเหยื่อจากการกระทำของรัฐบาลที่ไม่เข้มแข็งและสังคมที่ไม่เอื้ออำนวย
ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1434628337

เด็กแว้นอันตราย

  ชลบุรี ปิดถนนเลียบชายทะเลให้เด็กแว้นกว่า 300 คนซิ่งปลดปล่อย คนแห่เข้าชมการแข่งขันนับพัน ตำรวจสั่งแข่งเสร็จ 30 นาทีต้องสลายตัวอย่างสุภาพ ฝ่าฝืนจับ-ยึดรถ และงดการแข่งขันอีก

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังมีการนำเสนอข่าวแนวคิดของ พล.ต.ต. อำพล บัวรับพร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี (ผบก.ภ.จว.ชลบุรี) ในการจัดการแข่งขันรถซิ่งให้บรรดาเด็กแว้น โดยอ้างว่าเพื่อให้เด็กแว้นได้มีสถานที่ปลดปล่อย ซึ่งถูกกระแสกดดันจากหลายฝ่าย แต่กองบังคับการตำรวจภูธร จ.ชลบุรี ยังยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการต่อไป

          ล่าสุด กลางดึกวานนี้ (19 มีนาคม 2559) พ.ต.อ. ศุภธี บุญครอง รองผบก.ภ.จว.ชลบุรี เป็นประธานในการประชุมเตรียมความพร้อมทุกฝ่ายเพื่อจัดแข่งขันรถจักรยานยนต์ซิ่งบนสะพานเลียบชายทะเล อำเภอเมืองชลบุรี ตามโครงการ "เด็กซิ่งหลังถนน สู่สนามมาตรฐาน" โดยมีตัวแทนทหารจากมณฑลทหารบกที่ 14 ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองชลบุรี และตัวแทนเด็กแว้นเข้าร่วมประชุม หลังจากนั้นทุกฝ่ายได้ลงพื้นที่เพื่อไปตรวจสถานที่จริงบนสะพานเลียบชายทะเล

          ทั้งนี้ พ.ต.อ. ศุภธี ได้ย้ำกับตัวแทนเด็กแว้นถึงข้อตกลงที่ว่าจะมีการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ซิ่งบนสะพานเลียบชายทะเลในวันที่ 19 มีนาคมนี้ โดยจะใช้ระยะทางประมาณ 200 เมตร ใช้เวลาแข่งขันตั้งแต่เวลา 21.00-01.00 น. และจะให้เวลา 30 นาที เพื่อให้เด็กแว้นกลับบ้าน หลังจากนั้นหากพบเด็กแว้นบนท้องถนนจะดำเนินการจับกุมและยึดรถอย่างเด็ดขาด

บรรยากาศชลบุรี ปิดถนนเอาใจเด็กแว้น จัดซิ่งประลอง คนแห่ดูเป็นพัน

          จากนั้นเวลา 22.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณสะพานเลียบชายทะเล ตั้งแต่ตลาดท่าเรือพลีไปจนถึงบริเวณเทศบาลตำบลบางทราย ระยะทางประมาณ 200 เมตร ได้จัดให้มีการแข่งขันรถจักรยานยนต์ เพื่อให้กลุ่มเยาวชน ได้มีพื้นที่ในการประลองความเร็วรถจักรยานยนต์ 

          โดย พ.ต.อ. ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ได้เดินทางมาสังเกตการณ์ พร้อมทั้งกำชับให้มีการตรวจอาวุธของบรรดาผู้เข้าร่วมชมการแข่งขัน รวมทั้งผู้แข่งขัน และมีการตรวจสำเนารถจักรยานยนต์ สำหรับผู้แข่งขันต้องแต่งกายให้เหมาะสมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

          สำหรับผู้เข้าร่วมการแข่งขันรถจักรยานยนต์ ครั้งนี้มีประมาณ 300 คน และ มีผู้เข้าชมการแข่งขันกว่า 1,000 คน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กำชับ ย้ำเตือน ว่าหากเสร็จสิ้นการแข่งขันแล้วให้ขี่รถจักรยานยนต์กลับที่พักด้วยความสุภาพ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน หากมีการฝ่าฝืนจะงดจัดไม่ให้มีการแข่งขันอีก ซึ่งผู้เข้าร่วมแข่งขันได้บอกว่า การที่จัดให้มีการแข่งขันขึ้นถือว่าเป็นเรื่องดีจะได้ไม่ไปแข่งกันบนถนนสาธารณะ เพราะอาจทำให้เสียชีวิต บาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย
ที่มาhttp://search.newtab-tvsearch.com/?affilid=opHKbG7S6PDsG0o6BxAwDjucxacQER&src=newtabtvMedia_nt&tpl=movie_t

  

เด็กแว้นเข้าใจไม

เด็กแว้นเข้าใจใหม่! ตร.ยัน เมืองชลบุรียังไม่เปิดให้แข่งรถแบบถูกกฎหมาย (ชมคลิป)

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 มี.ค. 2559 19:23
8,314 ครั้ง


กรณีในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปวิดีโอการแข่งรถของเด็กแว้น พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก หลังสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อว่า บ.แบงค์ สนั่นซอย ได้โพสต์คลิปวิดีโอไปยังแฟนเพจเฟซบุ๊กยูไลค์ (คลิปเด็ด) เป็นเหตุการณ์กลุ่มเด็กแว๊นกลุ่มหนึ่ง รวมตัวแข่งขันรถที่บริเวณสะพานใหม่ จ.ชลบุรี ระบุข้อความว่า
"เมื่อคืนเวลา 21.00-02.00 บริเวณสะพานใหม่ ชลบุรี เปิดแข่งแบบถูกกฎหมาย มีตำรวจคุมทางให้อย่างดี มีเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น สลับกันระหว่าง รถมอไซค์กับรถซิ่ง เป็นสนามแข่งเดียวในประเทศไทยที่ติดกับชายทะเล ขอบคุณตำรวจที่เปิดโอกาสให้เรา"
หลังจากที่คลิปนี้ได้เผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตที่ได้ชมคลิปนี้ก็แสดงความคิดเห็นทั้ง 2 ด้าน ส่วนหนึ่งบอกว่า เห็นด้วยกับเรื่องนี้ที่จัดระเบียบจะได้ควบคุมเด็กแว้นได้ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นถนนสาธารณะ ไม่ใช่สนามแข่งรถ ควรไปแข่งในสนามของเอกชนมากกว่า
ที่มาhttp://www.thairath.co.th/content/590246

เด็กแว้น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การแข่งมอเตอร์ไซค์ซิ่งตามถนนใหญ่
เด็กแว้น (มีการสะกด เด็กแว๊น) หรือ เด็กแซป หมายถึงผู้ที่อายุประมาณ 13-28 ปี ที่ออกขับมอเตอร์ไซค์ไปเป็นกลุ่มในเวลากลางคืน มีลักษณะการแต่งกาย และทรงผม รวมถึงรสนิยมการฟังเพลง ที่คล้ายกัน
ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำไว้ว่า "วัยรุ่นผู้ชายที่ชอบเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ให้มีเสียงดังแว้น ๆ "[1]

ที่มาของคำและความหมาย[แก้]

เด็กแว้นหรือแซปนั้น มีผู้สันนิษฐานว่ามาจาก "แซปคุง" (Zabbkung) ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาในโอกาสครบรอบ 7 ปีของสตูดิโอเขียนการ์ตูน มอนสเตอร์คลับ (สตูดิโอของคนไทย ผู้วาดการ์ตูนเรื่อง Joe the Sea-cret Agent) ส่วนคำว่าแว้นนั้น มาจากเสียงท่อไอเสียที่ดัดแปลงให้เสียงดังขึ้น รวมไปถึงเสียงดังที่เกิดจากการบิดหนีตำรวจ แต่ก่อนสมัยเครื่องยนต์ 2 จังหวะ เมื่อบิดก็จะเกิดเสียงดัง "แว้น ๆๆๆ"[2]
ในอดีตระหว่างคำสองคำนี้จะใช้แตกต่างกัน "เด็กแซป" นั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะวงการมอเตอร์ไซด์ แต่จะเหมารวมถึงกลุ่มเด็กที่ชอบทำตัวให้โดดเด่นสะดุดสายตาชาวบ้านด้วยวิธีการผิด ๆ เพื่อให้เป็นที่สนใจ เช่น การชกต่อยในงานฟรีคอนเสิร์ต ใส่เสื้อผ้าสีสันบาดตา ไม่เรียนหนังสือ มั่วสุมอยู่แถวโต๊ะสนุกเกอร์ แต่ที่พวกเด็กแซปชื่นชอบมากเป็นพิเศษ คือ การดัดแปลงรถมอเตอร์ไซค์ และรวมตัวกันเป็นแก๊ง และในที่สุดก็ได้พัฒนากลายมาเป็น "เด็กแว้น"[2]
ราชบัณฑิตยสถานได้จัดพิมพ์ "พจนานุกรมคำใหม่ เล่ม 1" หรือพจนานุกรมฉบับวัยรุ่น โดยมี ศ.ดร.กาญจนา นาคสกุล เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำ ซึ่งรวมถึงความหมายของคำว่า เด็กแว้น ไว้ด้วย[3] โดยได้ให้ความหมายไว้ว่า "วัยรุ่นผู้ชายที่ชอบเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ให้มีเสียงดังแว้น ๆ "[1]

เอกลักษณ์และพฤติกรรม[แก้]

เอกลักษณ์
เด็กแว้นมักจะใส่กางเกงขากระบอก3ส่วนรายสก๊อตหรือกางเกงยีนกระบอกปลายลากพื้น พร้อมเสื้อสกีนหรือเสื้อปัก หรือเสื้อที่มีสกรีนลายชื่อนักร้องวงต่างๆ บางรายอาจจะแสดงความมั่นใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งด้วยการใส่เสื้อลายตัดอ้อยและกางเกงขาสั้น ส่วนใหญ่จะใส่รองเท้าแตะเทวินหรือไม่ก็คอนเวิดร์[2]
ทรงผม
เด็กแว้นมักจะมีทรงผมประจำที่เป็นทรงยอดฮิตในหมู่เด็กแว้น โดยเป็นการตัดผมด้านข้างสั้นและไว้ผมด้านหลังยาว เรียกกันว่า ทรงลากไทร
สถานที่เด็กแว้น หรือแซป นัดพบ
ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณถนนรอบเมืองและรอยต่อปริมณฑล ลานพระบรมรูปทรงม้า แยกกองทัพภาคที่ 1 หน้าสวนอัมพร ถถนหลวงพระราม5 ถนนกาญจนาภิเษก (ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี) [2] ซึ่งเคยดำเนินคดีเด็กแว้น 137 ราย และสาวสก๊อยซ้อนท้ายอีก 17 ราย ที่ใช้ถนนประลองความเร็วบนเส้นทางนี้[4] หรือที่นัดพบจุดสำคัญอีกที่หนึ่งคือ สะพานพุทธ ซึ่งวันที่สะดวกที่สุดคือวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ พฤติกรรมการชอบขับรถซิ่ง จากการสำรวจการร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งเด็กแว้น หรือกลุ่มวัยรุ่นแข่งซิ่งบนถนน ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 31 ธันวาคม 2551 พบว่าถนนที่มีการปิดถนนแข่งรถมากที่สุดอันดับ 1 คือ ถนนบางนา-ตราด และถนนประเสริฐมนูกิจ หรือถนนเกษตร-นวมินทร์, อันดับ 2 ถนนกาญจนาภิเษก และถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี อันดับ 3 ถนนราชพฤกษ์, อันดับ 4 ถนนสุวินทวงศ์, อันดับ 5 ถนนวิภาวดีรังสิต, อันดับ 6 ทางยกระดับจตุรทิศ พระราม 9 - ศรีอยุธยา, อันดับ 7 ครุยซิ่งซาวน่า อันดับ 8 ถนนแจ้งวัฒนะ, อันดับ 9 ถนนศรีนครินทร์ และอันดับ 10 ถนนกำแพงเพชร 6หรือโลคัลโรด[5]
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผอ.สำนักพัฒนาสุขภาพจิต กล่าวว่า "วัยรุ่นที่เสพติดความสนุกสนานในลักษณะชอบความป่วนอันเนื่องมาจากปัญหาพัฒนาการโดยตรง เช่น ล้มเหลวเรื่องการเรียน ความล้มเหลวนี้ทำให้พวกเขาไปแสวงหาความสนใจหรือการได้รับการยอมรับนอกห้องเรียน"[6] จิตแพทย์ระบุว่าพฤติกรรมของเด็กแว้นถือเป็นพฤติกรรมการเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งเวลาเด็กเสพความตื่นเต้นบ่อย ๆ ก็จะติด เช่นเดียวกับ การติดเกมหรือติดการพนัน[7]
ความเร็ว สร้างความเดือดร้อนทางเสียงให้กับชาวบ้าน กลับกลายเป็นแก๊งอันธพาล ยิงกัน ยกพวกตีกันปาหิน ฯลฯ เริ่มมีเรื่องของการพนัน ยาเสพติด ปัญหาทางเพศ อุบัติเหตุ ไปจนถึงการก่ออาชญากรรม บางแก๊งมีเป็นร้อยคนมีขาใหญ่คุม ตั้งแก๊งแข่งรถบนถนนสายใหญ่ ในกลุ่มมีสมาชิกตั้งแต่ไม่ถึง 10 ขวบ และยังไม่ได้เรียนหนังสือ ก็มาขอเข้ากลุ่ม และบางกลุ่มใช้แรงจูงใจให้ถอยรถมอเตอร์ไซค์ได้เพียงใช้เงิน 199 บาท ส่วนใหญ่ที่เด็กแว๊นได้นิยมพวกรถ ที่เป็นรถออโต้เมติก เช่น ฟีโน่[ต้องการอ้างอิง] หลังจากนั้นเด็กจะขอเงินพ่อแม่มาแต่งรถ ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น เพื่อให้รถแรงแข่งชนะคนอื่น แข่งขันกันบนถนนหลวงเส้นยาว ๆ ทุกคืนวันศุกร์และเสาร์ ซึ่งบางกลุ่มยังใช้เป็นเครือข่ายส่งยาเสพติด หรือถูกหาประโยชน์จากหัวหน้ากลุ่ม [8]

เด็กแว้นในวัฒนธรรมสมัยนิยม[แก้]

ในปี 2550 กลุ่มศิลปินแนวฮิปฮอป ก้านคอคลับ ได้ออกเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กแว้น ในเพลง "แว้นบอยสะก๊อยเกิร์ล" (Vanz Boy 'N' Sagoi Girl) [9]
สำหรับเรื่องราวในภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กแว้น ในภาพยนตร์ปี 2552 เรื่อง ห้าแพร่ง ในตอน "หลาวชะโอน" ที่เก้า จิรายุ รับบทเป็นเด็กแว้น แก๊งปาหิน[10] และในภาพยนตร์ผีอีกเรื่องอย่างตายโหง ตอน "ขึ้นครู" ที่คชาภา ตันเจริญและรัชชานนท์ สุขประกอบ รับบทเป็นเด็กแว้น ขับรถชมสาว (ขายบริการ) รอบสวนลุมพินี[11]
ที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%99

เด็กแว้นคืออะไร

เด็กแว้นคืออะไร???

              เด็กแว้น (มีการสะกด เด็กแว๊น) หรือ เด็กแซป หมายถึงผู้ที่อายุประมาณ 15-28 ปี ที่ออกขับมอเตอร์ไซค์ไปเป็นกลุ่มในเวลากลางคืน มีลักษณะการแต่งกาย และทรงผม รวมถึงรสนิยมการฟังเพลง เช่น วงบอดี้แสลม บิ๊กแอส ไอน้ำ ไฮเปอร์ หรือวงเรทโทรสเปค เป็นต้น
ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำไว้ว่า "วัยรุ่นผู้ชายที่ชอบเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ให้มีเสียงดังแว้น ๆ "

เอกลักษณ์และพฤติกรรม
เด็กแว้นมักจะใส่กางเกงขาเดฟฟิตมาก ๆ รัดเป้า พร้อมเสื้อสีดำตัวเล็ก หรือเสื้อที่มีสกรีนลายชื่อนักร้องวงต่างๆ บางรายอาจจะแสดงความมั่นใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งด้วยการใส่กางเกงขาสั้น ทรงผมที่นิยมมักไว้ทรงผมแบบ "ทรงปั๊ป โปเตโต้" ที่มีเอกลักษณ์คือปาดปอยผมจากด้านข้างเกือบจดหูพาดมาอีกข้างหนึ่งของใบหน้า และอาจมีปอยผมห้อยมาปิดลูกตา ส่วนใหญ่จะใส่รองเท้าแตะแบบนิ้วคีบรุ่น ตราช้างดาว เพราะราคาไม่แพง สำหรับแนวเพลงที่ชาวแว๊นหรือแซป ชอบมากเป็นพิเศษคือ บอดี้แสลม บิ๊กแอส ไอน้ำ ไฮเปอร์ หรือวงเรทโทรสเปกต์และเพลงแด๊นซ์ ตามผับหรือสถานบันเทิง ที่เป็นศิลปินต่างประเทศ นำมารีมิกซ์จังหวะใหม่ เป็นต้น
เด็กแว้นในยุคหลังจะมีการแต่งตัวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบางกลุ่มจะได้แรงบันดาลใจจากเด็กแนวฮิปฮอปซึ่งได้มาจากการไปเที่ยวตามสถานเริงรมณ์ จากแต่ก่อนใส่เสื้อตัวเล็กก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อตัวใหญ่แบบฮิฟฮอฟส่วนกางเกงจะเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ฟอกสี่ซีดตัวใหญ่ รองเท้าได้เปลี่ยนเป็นแบบสวม ส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ เทวิน ใส่ทอง มีกระเป๋าคาด และโกรกผมสีทอง ซึ่งรองเท้าเทวินนั้น ในหลายๆรายใส่รองเท้าที่ทำเลียนแบบยี่ห้อเทวิน ที่มียี่ห้อ ใต้หวัน หรือ รองเท้า ไนกี้ ของปลอม เป็นต้น
บทความถัดไป Click
แสดงความคิดเห็น  Click
ทีมาhttp://vanzcivil.blogspot.com/p/blog-page_3622.html