ท่านผู้อ่านทุกท่านคงอาจจะเคยเห็นกลุ่มสิงห์นักบิดรุ่นเยาว์ ขี่มอเตอร์ไซค์จำนวนมากยามค่ำคืน ด้วยลีลาอันผาดโผนและน่าหวาดเสียว หลายคนรู้สึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย ขณะที่หลายคนก็สาปแช่งและเรียกพวกเขาว่าขยะสังคม ผู้ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง
เชื่อหรือไม่ว่า? ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไม่ได้มองเช่นนั้น ดร.ปนัดดาตั้งคำถามว่าทั้งๆที่เด็กกลุ่มดังกล่าวก็รู้ ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและอาจถึงแก่ความตายได้ แต่สิ่งที่ตนเองพบเจอมาจากการสังเกตุเบื้องต้น กลับเห็นรอยยิ้มและความสุขของกลุ่มเด็กเเว้น คำถามคือว่าทำไมเขามีความสุข
ดร.ปนัดดาถึงขนาดใช้ชีวิตกว่า3ปีในการศึกษาระดับปริญญาเอกเพื่อเข้าไปคลุกคลีและใช้ชีวิตเป็นพวกเดียวกันอยู่ในกลุ่มเด็กแว้น จนพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจและอธิบายเด็กแว๊นจากมุมมองที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะจากผู้มีอำนาจรัฐ
"มติชนออนไลน์"ถือโอกาสนี้มาทำความรู้จักกับเส้นทางการวิจัยดังกล่าวรวมถึงคำถามที่ว่าเราจะเข้าใจกลุ่มเด็กแว้นได้อย่างไรโดยปราศจากอคติหรือกรอบความคิดที่มีอยู่เดิม
เชื่อหรือไม่ว่า? ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไม่ได้มองเช่นนั้น ดร.ปนัดดาตั้งคำถามว่าทั้งๆที่เด็กกลุ่มดังกล่าวก็รู้ ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและอาจถึงแก่ความตายได้ แต่สิ่งที่ตนเองพบเจอมาจากการสังเกตุเบื้องต้น กลับเห็นรอยยิ้มและความสุขของกลุ่มเด็กเเว้น คำถามคือว่าทำไมเขามีความสุข
ดร.ปนัดดาถึงขนาดใช้ชีวิตกว่า3ปีในการศึกษาระดับปริญญาเอกเพื่อเข้าไปคลุกคลีและใช้ชีวิตเป็นพวกเดียวกันอยู่ในกลุ่มเด็กแว้น จนพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจและอธิบายเด็กแว๊นจากมุมมองที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะจากผู้มีอำนาจรัฐ
"มติชนออนไลน์"ถือโอกาสนี้มาทำความรู้จักกับเส้นทางการวิจัยดังกล่าวรวมถึงคำถามที่ว่าเราจะเข้าใจกลุ่มเด็กแว้นได้อย่างไรโดยปราศจากอคติหรือกรอบความคิดที่มีอยู่เดิม

-งานวิจัยเรื่องเด็กแว๊นของอาจารย์มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร อะไรคือแรงบันดาลใจ
เริ่มจากสมัยที่เรียนปริญญาเอกก็เรียนทางด้านสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุการบาดเจ็บและตาย จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์สูงระดับต้นๆของโลก ก็คิดว่าน่าจะใช้หลักทางสังคมศาสตร์ในการอธิบายเรื่องของสุขภาพเมื่อมาดูอัตราการเจ็บและตายว่ามันเกิดขึ้นกับคนกลุ่มใด และเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็พบว่ามันเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนจากการขี่รถมอเตอร์ไซค์ จึงตั้งคำถามว่าเด็กและเยาวชนที่เสียชีวิตเพราะมอเตอร์ไซค์ว่าทำไมเค้าจึงเลือกขี่
ด้วยความที่อยากได้องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการอธิบาย ก็จำเป็นต้องคิดนอกกรอบ ต้องใช้วิธีการในการศึกษาแบบใหม่การจะไปเดินแจกแบบสอบถามนั้นคงไม่เหมาะสม ไม่น่าจะได้คำตอบและไม่สามารถทะลุกรอบคิดเดิมๆได้
ก็ได้คำตอบว่าต้องทำวิจัยแบบเชิงคุณภาพแบบชาติพันธุ์-มนุษยวิทยาหรือที่เรียกว่า"ethnographicfieldwork" มันก็เลยเป็นที่มาของการเข้าไปศึกษาโดยเอาตนเองเข้าไปคลุกคลีในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจเด็กๆครอบครัวข้าราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเมื่อลงไปสัมผัสและศึกษากับความจริงแล้วก็จะพบว่าโจทก์การวิจัยก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นจึงเข้าใจว่าทำไมเค้าถึงมีบริบททางวัฒนธรรมจิตวิทยาอะไรที่ผลักดันให้พวกเขาเหล่านั้นต้องขี่รถเค้าจะขับรถแบบเสี่ยงๆไปเพื่ออะไรหรือเค้าไม่รู้หรือว่ามันอันตราย? เค้าไม่รู้หรือว่ามันเป็นผลร้ายต่อชีวิต?
จากผลการวิจัยเบื้องต้นเราได้คำตอบว่าเค้ารู้เค้ารู้ว่าชาวบ้านเกลียดเขาตัวเค้าก็กล้านิยามว่าตัวเองเป็นเด็กเลว อย่างเช่นมีคนหนึ่งพูดกับเพื่อนหลังจากที่พึ่งเล่นยากลับมา ส่วนดิฉันเองก็แกล้งนอนหลับและได้ยินเค้าก็บอกว่า"กูโคตรรักพี่ปู(ชื่อเล่นผู้วิจัย)เลยขนาดพวกเราเลวอย่างนี้เค้ายังมาคบพวกเราเลย"
มันก็เป็นบทสะท้อนว่าตัวเค้าเองก็รู้นะว่าเค้าเป็นเด็กที่ไม่ดี สังคมมองเขาอย่างไรแต่เขายินดีไงมันก็เป็นหน้าที่ของนักวิจัยว่าต้องไปค้นหาว่าทั้งๆที่รู้ แต่ทำไมเค้าถึงต้องทำ
มันจึงออกมาเป็นผลการวิจัยที่พบว่าเด็กมีพัฒนาการตามวัยพอเขาเริ่มโตเขาก็ต้องแสดงอัตลักษณ์ตัวตนทั้งนี้การแสดงอัตลักษณ์ตัวตนมันก็ขึ้นอยู่กับเด็กคนนั้นว่ามีทุนเช่นทุนทรัพย์ หรือทุนทางสังคม-ครอบครัว-สติปัญญาว่าเค้าจะสร้างตัวตนอย่างไรทั้งนี้เด็กที่พ่อแม่มีการศึกษาฐานะร่ำรวยก็จะพาลูกไปเรียนพิเศษเด็กของครอบครัวเหล่านี้ก็จะมีอัตลักษณ์ทางด้านการศึกษาและมีความใฝ่ฝันตามปกติของสังคม ขณะที่พ่อแม่ที่ฐานะไม่ร่ำรวย หรืออาจจะร่ำรวยแต่ไม่มีกรอบคิดในการขัดเกลาที่ดี ก็ทำให้เด็กมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน เพื่อที่จะสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง
จึงจะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถยกความผิดไปให้ครอบครัวทั้งหมด เพราะครอบครัวที่ยากจนหรือครอบครัวระดับล่างไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลบุตรอย่างแน่นอน แต่กลับถูกสังคมคาดหวังว่าจะต้องดูแลลูกให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่ต้องไปศึกษาหาวิธีในการช่วยเหลือสนับสนุนพ่อแม่ที่อ่อนแอได้มีเครื่องมือกลไกและวิธีคิดในการเสริมพลังปรับเปลี่ยนวิธีคิดของลูกเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยที่เหมาะสม
-ตอนนั้นอาจารย์ลงพื้นที่ไหนครับ
บอกจังหวัดไม่ได้ค่ะ เป็นพื้นที่ทางภาคตะวันออก
- เล่าวิธีการในการเข้าหาหรือตีสนิทกับเด็กแว๊น?
การวิจัยครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2546 มันเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นว่าจะต้องหาความรู้ใหม่ให้ได้ คือต้องเริ่มต้นจากการไปนั่งเฝ้าตามริมถนนและสังเกตพฤติกรรมการขี่รถว่าเขาขี่อย่างไร ก็สอบถามทุกคนที่ถามได้ว่าที่ไหนมีเด็กแว๊น? ที่ไหนมีการขับขี่รถ? ก็จะไปนั่งรอจนถึงเที่ยงคืนเพื่อไปดูพฤติกรรมแบบนี้แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาเพราะเราอายุมากแล้วไม่น่าจะเข้ากับเขาได้

โดยความรู้สึกครั้งแรกก็เห็นว่าเขามีความสุขดีนะมันก็กลายเป็นคำถามว่าเค้าไม่ได้ทุกข์และเค้าไม่ได้กลัวอะไรรวมถึงไม่ได้มองว่ามันอันตรายไม่ว่าจะเป็นการนอนขี่หรือแว้นไปมาด้วยความเร็วสูงก็ดูเขามีความสุขและร่าเริงทุกคน ด้วยความเป็นนักวิจัยก็ต้องไปศึกษาข้อมูลกับหลายพื้นที่โดยเฉพาะโรงพยาบาลก็ไปพบกับผู้ป่วยจากอุบัติเหตุที่เป็นเด็กวัยรุ่นรายหนึ่งก็เลยไปสัมภาษณ์เขาก็เริ่มเข้าใจการขับขี่และวิถีของเด็กแว๊นเบื้องต้นเราจึงเห็นว่ากรณีคนนี้เป็นคนที่น่าสนใจเมื่อคุยกันเริ่มจะถูกคอก็ปรากฏว่าเขาหนีออกจากโรงพยาบาลก็เลยพยายามที่จะตามเขาไปซึ่งกรณีของเขาเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเมื่อไปถึงที่อยู่ที่เขาแจ้งไว้กับโรงพยาบาลก็ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามนั้นเป็นข้อมูลโกหกโรงพยาบาล
เราก็เริ่มจากการไปที่จุดเกิดเหตุและสัมภาษณ์ชาวบ้านก็ปรากฏว่ามีคนให้ข้อมูลและจดจำได้จนเจอคนที่รู้จักเด็กคนนี้จึงตามไปยังชุมชนที่เขาอยู่กระทั่งบังเอิญไปเจอเขาจึงเป็นที่มาของการเข้าไปใกล้ชิดเป็นการเข้าผ่านตัวบุคคลจนได้ไปเจอเครือข่ายของเขา
-อาจารย์เปิดตัวว่าเป็นนักวิจัยหรือเปล่าอาจารย์ไม่กังวลว่าเค้าจะให้ข้อมูลที่โกหกหรือ
ตอนแรกก็คิดว่าเค้าจะไม่โกหกก็สัมภาษณ์ เค้าก็ตอบเรื่อยๆ มารู้อีกทีว่าเค้าโกหกก็เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ6เดือนพอเริ่มคุ้นเคยกันเริ่มรู้จักคนมากขึ้นเขาก็บอกว่า"พี่ปูผมมีเรื่องจะสารภาพสิ่งที่ผมบอกพี่ปูมันไม่ใช่ความจริงยอมรับว่าโกหก"
นี่จึงเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ที่นักวิจัยต้องรู้ว่าการให้ความรู้มาต้องอย่าดูถูกผู้ให้ข้อมูลถึงแม้เค้าจะเรียนไม่จบหรือเป็นเด็กแว๊น เขาก็จะป้องกันตัวเองในการให้ข้อมูลว่าฉันควรจะให้ข้อมูลกับใครที่จะไม่ทำให้เดือดร้อนดังนั้นการที่เด็กแต่ละคนจะพูดอะไรออกมาก็จะผ่านการพิจารณาอย่างดีว่านักวิจัยดังกล่าวไว้ใจได้หรือไม่?และจะเอาข้อมูลไปทำอะไร?หมายความว่า การที่เราไปวิจัยเขาในทางกลับกันเขาก็วิจัยเราเช่นกัน
เมื่อเขาตรวจสอบแล้วว่า เราไม่ทำร้ายเขาแน่นอน เป็นการมาดี เขาก็จะเริ่มเปิดใจมากขึ้น นักวิจัยจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลาตนเองก็หยุดใช้วิธีการจดและเปลี่ยนมาใช้การจำเพื่อไม่ให้เขากลัว รวมถึงมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับเขา เช่นการย้ายหอพักจากเดิมที่อยู่ไกลจากเขาพอสมควร มาอยู่ใกล้ใกล้เขา ซึ่งเขาก็เป็นคนหาให้หลังจากนั้นเขาก็จะมาอยู่กับเราด้วยเพราะเด็กกลุ่มดังกล่าวจะนอนดึกก่อนจะตื่นประมาณเที่ยง
-อาจารย์ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าแก๊ง?
ตอนแรกๆยังไม่เป็นนะคะ ตอนนั้นยังเป็นเบ้...ก่อนพอระยะหลังๆที่คุ้นเคยกันมากขึ้นก็จะขึ้นมาตามลำดับเป็นการขึ้นมาตามอำนาจซึ่งตัวอำนาจเองก็ถูกกำหนดไว้หลายปัจจัยทั้งเรื่องเงินการมีรถแรงการรู้จักคนที่มีเครือข่ายเยอะๆอำนาจก็จะตามมาจากปัจจัยดังกล่าวเอง
-ข้อเสนอหลักที่อาจารย์คิดว่าได้จากงานวิจัยชิ้นนี้คืออะไรครับ
ดิฉันคิดว่าเด็กแว๊นเป็นบทสะท้อนถึงปัญหาการใช้ความรุนแรงของกลุ่มเยาวชนด้วยวิธีการต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อก่อความเดือดร้อนรำคาญแต่ตัวเองมีความสุขหรือว่าการใช้อาวุธการใช้ยาเสพติดทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าปัญหาเหล่านี้มีเฉพาะในกลุ่มเด็กแว้นเท่านั้นเพราะเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาปกติของเยาวชนไทยเมื่อไปดูสถิติก็จะพบว่าการกระทำผิดในกลุ่มเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้แม้นโยบายรัฐจะมีการพยายามดูแลปัญหาเด็กแว๊นแต่ก็ยังไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาซึ่งเห็นว่าควรจะต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทสังคมและตัวเด็กยกตัวอย่างเช่นเยาวชนภาคใต้ก็ควรจะมีแบบแผนหลักสูตรที่สอดคล้องกับเด็กภาคใต้ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับเด็กภาคเหนือและไม่เห็นว่าเด็กจะต้องเก่งวิชาการพื้นฐานทั่วไปแต่ควรมีวิชาที่สอดคล้องกับสังคมเฉพาะทางด้านสายอาชีพเพื่อให้สอดรับกับเด็กที่มีความหลากหลายให้สามารถพัฒนาตนเองและสร้างอัตลักษณ์ตนเองได้ครูก็ต้องเป็นพี่เลี้ยงในการให้เด็กเติบโตและสร้างตัวตนของตนเองทั้งนี้ปัญหาหลักของกลุ่มเด็กแว้นก็คือการหาอัตลักษณ์ของตนเองไม่เจอแต่สิ่งที่เค้าเจอคือความภาคภูมิใจจากการเข้าไปอยู่ในสังคมเด็กแว๊นมีระบบชนชั้นอยู่ภายในกลุ่มการได้รับการยอมรับจากสังคมเฉพาะของตน
-อาจารย์เปรียบเทียบได้ไหมครับว่าลักษณะของกลุ่มเด็กแว้นในปี2546 ที่อาจารย์ศึกษากับปัจจุบันมีความแตกต่างและมีพัฒนาการอย่างไร
ตอบได้เลยว่าแรงขึ้น เช่นในสมัยที่ตนทำวิจัยต้นคลุกคลีอยู่กับเด็กแว๊นกว่า 3 ปี ตอนนั้นตัวขี่ คือคนที่ขับรถแข่งหรือเป็นตัวแทนของซุ้มหรือร้านแต่งรถจะเป็นเด็กประถมศึกษาปีที่ 6 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยคนที่จะเข้าแข่งก็ต้องหารถแรงและตัวขี่ก็ต้องมีขนาดตัวเล็กเพื่อเพิ่มความเร็วในการแข่งกับซุ้มอื่นๆ โดยช่วงที่ตนทำวิจัยก็ต้องลงทุนซื้อจักรยานยนต์ 1 คันยี่ห้อยามาฮ่า มีโอ และต้องแต่งเพื่อให้อยู่ในกลุ่มเค้าให้ได้

เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่4ถึง5ก็กลายเป็นตัวขี่แล้วมันสะท้อนว่าอายุมันลดลงและมีจำนวนมากขึ้นกระจายทั่วไปหมดดิฉันจึงไม่เห็นด้วยกับการมีสนามแข่งเพราะหากจะแก้ปัญหาโดยการใช้สนามแข่งจริงก็ต้องถามว่าจะใช้สนามแข่งมากแค่ไหนอย่างไรจังหวัดที่ตนทำวิจัยก็มีสนามแข่งมากมายทั้งสนามเถื่อนและสนามที่เทศบาลจัดเอง แต่กลุ่มเด็กแว้นก็ไม่รอจนถึงสนามเปิดหรอกเค้าต้องมีการเทสรถอยู่ตลอดเวลา
-มีคนเสนอเรื่องการทำสนามเช่นกรณีของ "บุรีรัมย์โมเดล" อาจารย์เห็นด้วยมั๊ยครับ
ตอบเลยว่าไม่เห็นด้วยและขอไม่เรียกว่าโมเดลด้วย เพราะคิดว่าโมเดลจะต้องได้รับการตรวจสอบมาแล้วว่ามันมีประสิทธิภาพ แล้วสังคมก็พากันไปเรียกว่าเป็นโมเดลเช่นกรณี ราชพฤกษ์โมเดล เพราะต้องตั้งคำถามว่ารถเทสของกลุ่มเด็กแว้นที่เกิดขึ้นเยอะมากและเกิดขึ้นหลายแห่งคงไม่สามารถหาสนามมารองรับได้หมดหากยังปล่อยให้เด็กไทยมีความต้องการในวิธีการขับขี่แบบนี้จะยอมให้มันกลายเป็นมาตรฐานหรือกลายเป็นวิถีชีวิตของวัยรุ่นไทยหรือไม่หากมีสนามแข่งก็หมายความว่าเป็นการยอมรับให้เด็กทั้งตัวแว้น-ตัวขี่ใช่หรือไม่
-อาจารย์ประเมินว่าเค้าจะเข้าไปใช้สนามไหมหากมีการสร้างจริง
ตอบได้เลยว่าไปเพราะเขาต้องการทุกพื้นที่ในการแข่งรถแต่อย่าลืมว่าการมีสนามไม่ได้ทำให้การขับขี่นอกสนามหายไป
-กรณีที่ผู้นำในภาครัฐของไทยโดยเฉพาะกรณีผบ.ตร.ที่ มองเด็กกลุ่มดังกล่าวว่าเป็นขยะสังคม อาจารย์ประเมินวิธีคิดแบบนี้อย่างไร
ควรจะมองเด็กแว๊นแบบไหน?นี่แหละคือสิ่งที่ดิฉันเห็นว่าเป็นปัญหาและเป็นสิ่งที่น่ากลัวว่าหากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่เปลี่ยนมุมมองและเปิดใจว่าตนเองมีส่วนสำคัญมากที่ทำให้เด็กและเยาวชนไทยเป็นแบบนี้แล้วก็ไปเพิ่มโทษและประณามว่าเป็นความเร็วของเด็กหรือเป็นความผิดของเด็กเป็นสิ่งที่เด็กทำเพื่อทำร้ายตนเองจริงๆผู้ใหญ่ควรตั้งคำถามกับตนเอง ว่าตนเองได้ทำหน้าที่ที่ผู้ใหญ่พึงมีในการที่จะพัฒนาและป้องกันเพื่อไม่ให้เด็กเดินเข้าสู่วิถีที่เป็นโทษกับตนเองและกับผู้อื่นอย่างไร
ทั้งนี้ดิฉันมองว่าความรุนแรงต่างๆเป็นบทสะท้อนให้เห็นว่าผู้ใหญ่ล้มเหลวไม่ใช่ความไม่ดีของเด็ก โดยเมืองไทยมักแก้ปัญหาโดยการมองไปที่ปลายทาง ซึ่งไม่ได้ปฏิเสธว่าการแก้ปัญหาปลายทางวันนี้ไม่ถูกต้องเพราะโดยในจุดหนึ่งก็ยังมีความจำเป็นหากไม่ระงับยับยั้งด้วยมาตรการที่เข้มข้นก็จะก่อให้เกิดความฮึกเหิมแต่ปัญหาที่อยากชี้ให้เห็นคือว่าการแก้ปัญหาที่ต้นทางมีน้อยมากฉะนั้นมันจึงส่งผลให้มาตรการการแก้ปัญหาปลายทางในวันนี้มีความจำเป็นแต่เวลาที่เราทำมาตรการปลายทางนั้นก็ต้องคิดถึงความจริงและข้อจำกัดของการทำงานระบบปลายทางด้วยเช่นเรื่องทรัพยากรบุคคลอุปกรณ์ในการทำงานหรือตัวบทกฏหมายที่มีความเหมาะสมมีประสิทธิภาพเพียงพอในการระงับยับยั้งและไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาใหม่กล่าวคือหากรัฐบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดหรือมีมาตรการกดให้เด็กแว๊นไม่กล้าออกมากระทำผิดกลุ่มเด็กดังกล่าวก็จะปริ้น...หรือเลือกที่จะไปกระทำพฤติกรรมในเรื่องอื่นทดแทน
-การขู่ใช้มาตรการเด็ดขาด ทั้งม.44. เพิ่มการตั้งด่าน ขึ้นบัญชีร้านแต่งรถ ช่วยได้ไหม?
ก็ต้องถามกลับไปที่ทางตำรวจว่าทุกวันนี้ตำรวจมีหน้าที่แค่ปราบเด็กแว๊นหรือเพราะตำรวจมีหน้าที่มากมายที่ต้องทำยังไม่นับปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องการขาดแคลนและความบกพร่องต่างๆมากมายจึงต้องถามผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าจะมุ่งมั่นในการปราบปรามแบบนี้ต่อไปหรือยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เปรียบได้เห็นภาพก็เช่นเราปล่อยให้มีแมลงสาบในห้องมากมายแต่เราไม่กำจัดแหล่งเพาะพันธ์เรากลับเลือกที่จะไล่ตีแมลงสาบทีละตัวมันก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะคนไม่พอ
อีกประเด็นคือเรื่องของตัวบทกฏหมายที่ยังมีปัญหาเรื่องการบังคับใช้มากมายจึงต้องมีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวให้ครอบคลุมและสามารถนำไปใช้ได้จริงแม้กระทั่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่จะมีการลงโทษกับพ่อแม่แม้มีการบังคับใช้มานานแล้วแต่ก็บังคับใช้อะไรไม่ได้เช่นการเชิญบุคคลต่างๆมาสอบสวนเยาวชนผลสุดท้ายก็กลายเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นที่ทำหน้าที่เพราะมีปัญหาง่ายๆเช่นเเค่เรื่องการนัดหมาย ก็กลายเป็นภาระของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับเยาวชนเพราะต้องทำตามกฎหมายและเกิดความยุ่งยากซับซ้อนการทำงานมากมายตำรวจหลายคนจึงเลือกที่จะไม่จับเยาวชนจึงเป็นช่องว่างให้เยาวชนกระทำผิด

ทั้งนี้ยืนยันว่าการจับเด็กแว้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเพราะจากประสบการณ์ของตนขนาดเป็นเด็กแว๊นมือใหม่ก็ยังไม่เคยถูกจับแม้แต่ครั้งเดียวตลอดสามปี จึงไม่ต้องถามเลยว่าเด็กแว๊นมือเก่าจะถูกจับหรือไม่ เพราะกรณีที่มีคนถูกจับก็จะนำความรู้ดังกล่าวมาบอกต่อกันจนเกิดการหลบหนีได้ทันทุกครั้ง รวมถึงเด็กแว้นเองก็มีความรู้ในการหลบเลี่ยง เช่นการอ้างสถานะความเป็นนักเรียนที่หากถูกจับก็จะถูกคุมประพฤติ เมื่อไปถึงสถานที่คุมประพฤติก็ถูกปล่อยออกมาภายใน5นาทีเพราะอ้างได้ว่าเป็นนักเรียน
ทั้งนี้เห็นว่าเรื่องเด็กจะต้องถูกยกเป็นวาระแห่งชาติปัจจุบันนโยบายของรัฐเรื่องเด็กล้มเหลว เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลไม่มีความจริงจังในการแก้ปัญหาเด็กเช่นนายกรัฐมนตรีก็จะพูดเรื่องเด็กเฉพาะวันเด็กและก็เป็นการพูดซ้ำๆไม่ได้มีวิสัยทัศน์ใดๆจึงจำเป็นต้องมีการสร้างแผนพัฒนาเยาวชนที่ครอบคลุมและมีระยะยาวต้องหยุดผลักภาระเรื่องเด็กให้เป็นปัญหาแค่เฉพาะของครอบครัวคนที่คิดแบบนี้ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบเพราะมันแสดงว่ารักมุ่งที่จะกระทำแต่กับเหยื่อโดยตนเองมองว่าเด็กและครอบครัวต่างหากที่เป็นเหยื่อจากการกระทำของรัฐบาลที่ไม่เข้มแข็งและสังคมที่ไม่เอื้ออำนวย
ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1434628337